แนะนำตัว

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แพลงกิ้งที่กำลังนิยมกันคร้าบ


ทำความรู้จักท่า แพลงกิ้ง สุดฮิต
หลายคนบนโลกออนไลน์คงไม่มีใครรู้จักคำว่า แพลงกิ้ง (planking) แน่นอนหรืออาจจะน้อยมากที่รู้จักกับกิจกรรมนี้ เพราะมันเป็นการทำท่าแผลงแบบเฉพาะกลุ่ม
แต่ที่ทำให้คนทั้งโลกออนไลน์รู้จักกับคำว่า แพลงกิ้ง (planking) ก็สืบเนื่องมาจากข่าวการเสียชีวิตของ นายแอคตัน บีล ชายออสเตรเลีย วัย 20 ปี พยายามทำท่า แพลงกิ้ง (planking) บนราวระเบียงอพาร์ตเมนต์สูงเจ็ดชั้น แล้วร่วงลงมาเสียชีวิต นั้นเอง

การทำท่า แพลงกิ้ง (planking) ในขณะนี้กำลังเป็นที่บ้าคลั่งของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก และมันกำลังฮิตมากในโลกของอินเตอร์เน็ต

ซึ่งการทำท่า "แพลงกิง" หรือการโพสท่าเป็นไม้กระดาน ผู้ที่โพสท่านี้จะต้องนอนลงบนพื้นสิ่งของแปลก ๆ คว่ำเอาเฉพาะส่วนท้องแนบกับพื้น และสองแขนแนบลำตัว ที่บางครั้งอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย และทรงตัวบนนั้นโดยที่มือเหยียดตรงอยู่ข้างลำตัว ไม่สามารถใช้ในการประคองตัวได้ แล้วจึงถ่ายภาพมาอวดกันผ่านทางเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กต่าง ๆ
นัก โพสท่าไม้กระดานทั้งหลายชาวไทย อยากลองทำท่า แพลงกิ้ง (planking) กับกันดูก็ได้นะ คุณอาจจะเกิดและดังไปทั่วโลก หรือ อาจจะดับตอนนั้นเลยก็ได้ (ที่บอกว่าดับนะชีวิตนะครับ!!) 
แพลงกิ้ง แอิ้ปเปิ้ล
ระบาดหนัก พนักงานบริษัทแอปเปิ้ลแอบโพสต์ภาพ แพลงกิ้ง ขณะ 2 สาวดังระเบิดในจีนหลังทำท่านี้
26 พ.ค. ท่า แพลงกิ้ง (planking) ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายประเทศ โดยเฉพาะออสเตรเลีย ได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่มีการเผยแพร่ภาพ พนักงานแอปเปิ้ลทำท่า แพลงกิ้ง ในสำนักงาน ทั้งกับผลิตภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์
ทั้ง นี้ พนักงานแอ็ปเปิ้ลพยายามทำท่า แพลงกิ้ง อย่างระมัดระวัง โดยพวกเขาจะไม่เปิดเผยตัวตน หลังจากที่ไม่กี่วันก่อนมีพนักงานบริษัทในออสเตรเลียถูกไล่ออก เพราะไปทำท่าแพลงกิ้ง บนปล่องไฟสูงขณะทำงาน
คาร์เรน จินหยู แพลงกิ้ง
ส่วน ที่ประเทศไต้หวัน คาร์เรน และ จินหยู สองสาวตากล้องอาชีพชาวไต้หวันวัย 28 และ 25 กำลังกลายเป็นคนดังแห่งโลกอินเตอร์เน็ต เมื่อทั้งสองทำท่า แพลงกิ้ง จนได้รับความนิยมไปแพร่หลายทั่วโลก โดยที่ผ่านมาทั้งคู่จะเขียนใส่ใต้ภาพด้วยว่าเป็นการรณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนใจ ชะตากรรมของสุนัขเร่ร่อน และทั้งคู่ยังไปโพสท่านี้ตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของไต้หวัน เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวของประเทศอีกด้วย
ขณะ นี้ พวกเธอ ถูกรู้จักกันดีในอินเตอร์เน็ต ว่า ปูเจีย หรือ ปุ๊กไก่ ที่แปลว่า เมื่อคุณล้มลงไปตาย โดยตอนนี้มีคนติดตามทั้งคู่นี้บนหน้าเฟซบุ๊กกว่า 1 แสนคน จนเว็บไซต์ของจีนถึงกับเชิญทั้งคู่ให้เป็นสมาชิกระดับวีไอพี เพื่อช่วยโฆษณาเว็บไซต์ ซึ่งทั้งคู่ เปิดเผยว่า เมื่อเลือกที่ได้แล้ว ก็จะทำท่าแพลงกิ้ง และให้คนที่เดินผ่านไปมาให้ช่วยถ่ายภาพให้ แต่มีกฎเหล็ก 3 ข้อในคือ ไม่รบกวนชาวบ้าน ไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ทำลายสิ่งของสาธารณะ
อนึ่ง แพลงกิ้ง คือการนอนราบคว่ำหน้าบนพื้นที่แปลกๆ คล้ายกับคนเสียชีวิต โดยเป็นการทำท่าที่ยากพอสมควร เพราะต้องมีการจัดความสมดุลของร่างกายให้พอดี จากนั้นก็ถ่ายภาพอวดกัน จนกลายเป็นเกมส์อย่างหนึ่ง ที่เล่นกันสนุกสนานแพร่หลายในโลกออนไลน์ และเฟซบุ๊กทั่วโลก
แพลงกิ้ง แอิ้ปเปิ้ล
แพลงกิ้ง แอิ้ปเปิ้ล
แพลงกิ้ง ออสเตรเลีย
แพลงกิ้ง ออสเตรเลีย
แพลงกิ้ง ออสเตรเลีย

โผล่อีก หนุ่มออสซี่เปลือยกายทำท่า แพลงกิง อ้างเป็นภาพที่ดีที่สุด!!



โผล่อีก หนุ่มออสซี่ เปลือยกายทำท่า แพลงกิง อ้างเป็นภาพที่ดีที่สุด
Mthai news: ายไซ มอน คาร์วิว พนักงานบริษัทวัย 25ปี ชาวออสเตรเลีย เปลือยกายทำท่า แพลงกิง ที่หลายคนทั่วโลกบ้าคลั่ง ฮิตในอินเตอร์เน็ต บนรูปปั้นเอลิซ่า ในเมืองเพิร์ท โดยเขาคว่ำหน้าให้มือทั้งสองข้างของรูปปั้นชูร่างเปลือยเปล่า กลางแม่น้ำสวอน ในออสเตรเลีย เพื่อดึงดูดความสนใจ
นาย ไซมอน อ้างว่า เพื่อนของเขาและหลายๆคนที่เห็นภาพ ต่างชื่นชมว่านี่คือการโพสท่าแพลงกิงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา และเพื่อนที่พักอาศัยในบ้านเดียวกันต่างภูมิใจที่ได้อยู่กับคนที่โด่งดังใน ขณะนี้ นอกจากนี้ไซมอนยังให้สัมภาษณ์กับสื่ออสเตรเลียด้วยว่า หลังจากที่ภาพดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับคำชื่นชมจากผู้สนับสนุนอย่างล้นหลาม
อย่างไรก็ตาม ความนิยมของท่าแพลงกิง ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความอันตรายที่เกิดขึ้นเพราะก่อนหน้านี้ นายแอคตัน บีล ชายออสเตรเลีย วัย20ปี พยายาม ทำท่าแพลงกิง บนราวระเบียงอพาร์ตเมนต์สูงเจ็ดชั้น แล้วร่วงลงมาเสียชีวิต


นายแอคตัน บีล ชายออสเตรเลีย วัย20ปี เสียชีวิตจากการทำท่าแผลง แพลงกิง
และ การทำท่าแพลงกิงในกาละเทศะที่ไม่เหมาะสม ก็อาจเกิดปัญหาได้ อย่างเช่นพนักงานของบริษัทซานโตส ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของออสเตรเลีย 2 ราย ทำท่าแพลงกิง บนปล่องไฟสูงถึง 60 เมตร จนผู้บริหารบริษัท มีคำสั่งให้ไล่ออกพนักงานทั้ง 2 คน

 
2สาวไต้หวันว่อนอินเตอร์เน็ต! โพสท่าแกล้งตายสุดแปลก


2สาวไต้หวันว่อนอินเตอร์เน็ต! โพสท่าแกล้งตายสุดแปลก

รอยเตอร์รายงานว่า คาร์เรน และจินหยู สอง สาวชาวไต้หวันกำลังกลายเป็นคู่ซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่แห่งโลกอินเตอร์เน็ ไต้หวัน ไปจนถึงจีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง เมื่อทั้งสองเลือกใช้วิธีการโพสท่าถ่ายภาพที่เรียกกั นว่า ‘การแพลงกิ้ง’ หรือการนอนราบคว่ำหน้าไปกับพื้นถนน คล้ายกับว่าพึ่งจะเสียชีวิต หรือแกล้งตาย ซึ่งแพร่หลายในโลกออนไลน์ และเฟซบุ๊ก แถมใช้ความแปลกตาในการสื่อสารเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยใช้รณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนใจชะตากรรมของสุนัขเร่ร่ อน หรือไม่ก็โปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวไต้หวัน เป็นต้น
 






spacer

คืนหมาหอนคืออะไร

     เปิดบันทึกคืนหมาหอนในประวัติศาสตร์ ที่ทั้งดังและโจ่งแจ้ง ผิดกับคืนหมาหอนในวันนี้ที่ซุ่มเงียบมาแบบเนียนๆ แต่กัดไม่ยอมปล่อย
 

     ในวันที่เทคโนโลยียังไม่ไล่ล่าและเขี้ยวเล็บทางการเมืองยังไม่ลากดิน  "คืนหมาหอน" ก่อนเลือกตั้งคือคืนที่หลายคนรอคอย

     โดยเฉพาะในพื้นที่แถวเชียงใหม่ มีเรื่องเล่าที่มาของคืนหมาหอนกัน ว่า สมัยที่ยังไม่มีกฎหมายเลือกตั้งเข้ามาควบคุมโดยตรง การซื้อสิทธิขายเสียงเป็นไปอย่างคึกคัก หัวคะแนนแต่ละพรรคต่างเลือก "จ่าย" วันสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง ไม่จ่ายก่อนเพราะกลัวพรรคอื่นเกทับ และไม่จ่ายหลังเพราะเข้าใจชาวบ้านดีว่า "เงินไม่มา กาไม่เป็น"  
 คืนนั้น หัวคะแนนพร้อมทีมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะออกเดินเข้าบ้านทุกหลัง ในบัญชีรับผิดชอบ สนนราคาเริ่มที่หัวละ 200-500 บาท แต่ละบ้านต่างพร้อมใจกันเปิดไฟ จิตใจจดจ่อรอการมาถึงของหัวคะแนน ผิดไปจากกิจวัตรเดิมที่นอนกันแต่หัวค่ำ และบรรยากาศคึกคักนี้เองทำให้หมาๆ ตื่นตัวส่งเสียงเห่เห่าหอนช่วยระวังภัยกันระงม จากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง ก่อนจะประสานเสียงขยายไปในระดับหมู่บ้านตลอดทั้งคืน 

ในคืนที่หมาเลิกหอน
 ป้าดำ (สงวนชื่อจริง)  ผู้เชี่ยวชาญการซื้อเสียงใน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เล่าว่า สองสามวันก่อนคืนหมาหอนธนบัตร ใบละ 100 ถูกจัดเตรียมไว้พร้อม ก่อนที่หัวคะแนนจะนำไปแจกจ่ายให้กับแกนนำในแต่ละหมู่บ้าน เมื่อเงินถึงมือ แกนนำจะตรวจเช็คงบกับจำนวนรายชื่อผู้มีสิทธิในมือ แล้วตระเวนแจกจ่ายไปยังหัวคะแนนในระดับหมู่บ้าน

 การซื้อเสียงไม่ง่ายแค่จ่ายเงิน แต่ก่อนหน้านี้หัวคะแนนระดับชุมชน ต้องออกแรงเดินเคาะประตูเจรจากันก่อน แถมต้องทำการบ้านด้วยว่าบ้านไหนมีแนวโน้มเลือกพรรคใด เพราะหากเข้าผิดบ้านอาจเสียเงินฟรี
 "เรื่องนี้ต้องละเอียด เพราะถ้าจ่ายแล้วผลคะแนนที่ออกมาไม่เข้าเป้า หัวคะแนนอาจกลายเป็นเป้าเอง" ป้าดำบอก
 ทว่า หลังการเกิดของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่มาพร้อมกับกฏหมายเลือกตั้ง ที่ระบุความผิดและใบเหลืองใบแดง ทำให้การซื้อสิทธิขายเสียงไม่ง่ายเหมือนเคย  "คืนหมาหอน" จึงเริ่มหายไปจนกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า ส่วนหัวคะแนนอย่างป้าดำก็ต้องปรับตัวรับกับวิธีการใหม่ ๆ
 ในยุคปัจจุบันจึงไม่พบมีการตระเวนแจกเงินตามบ้านในคืนสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง หมาในหมู่บ้านจึงอยู่กันอย่างสงบ
 หากการซื้อเสียงในยุคนี้กลับแนบเนียนกว่าเดิมเพื่อหลีกเลี่ยงใบเหลืองใบแดง วิธีการจึงไม่โฉ่งฉ่างและเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ
 วันนี้จึงมีทั้ง ดาวน์รถ  แจกเบี้ยประชุมนอกรอบให้กับผู้นำชุมชน การจ่ายเงินค่าเดินทางค่าอาหารให้กับผู้ร่วมประชุม การชุมนุม หรือ การปราศัยในเวทีต่าง ๆ ขณะที่การจ่ายเงินซื้อเสียงโดยตรงใช่จะหมดไปเสียทีเดียว แต่มีการนำยุทธศาสตร์และกลเม็ดทางธุรกิจมาใช้ในเกมการเมือง จนหลอมรวมกลายเป็น "ธุรกิจการเมือง" เต็มรูปแบบ
วิธีที่บรรดาหัวคะแนนเลือกใช้กันมากคือการลอกขั้นตอนรูปแบบของธุรกิจขาย ตรง มีการจ่ายเงินเป็นทอด ๆ แต่ละคนจะมีสมาชิก "ลูกข่าย" เป็นของตัวเอง ใครมีลูกข่ายมากก็ได้ "คอมมิชชั่น" มาก เม็ดเงินที่ใช้ในการซื้อเสียงจะถูกส่งเป็นทอดๆ จากหัวคะแนนรายใหญ่ระดับภาคลงมาถึงจังหวัด อำเภอ ตำบล ก่อนเข้าถึงระดับหมู่บ้าน ซับเอเยนต์แต่ละช่วงจะมีการตัดตอนไม่ให้สาวถึงกันและกัน ขณะที่ราคาค่ากาเบอร์ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 500 - 1,000 บาท ต่อหัว ส่วนการยื่นเงินมีทั้งแนบเอกสารแนะนำตัว แนบปฏิทิน แนบบัตรเชิญ ฯลฯ
  บรรดาผู้สมัคร ส.ส. หลายคนยังวางระบบรักษาฐานเสียงไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนยุบสภา โดยมีการจ่ายเงินแฝงไปในหลายโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ ที่ถูกเรียกว่า "งบ ส.ส." ซึ่งมีความสลับซับซ้อนยากจะจับผิดได้ แถมด้วยเบี้ยประชุม อสม. อปพร. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
 อีกวิธีคือ การยึดบัตรประชาชน วิธีนี้จะถูกใช้ในกรณีที่มีความชัดเจนว่าพื้นที่ไหนไม่เลือกพรรคของตัวเอง พื้นที่ไหนที่อาจจ่ายเงินฟรี จะมีการจัดตั้งโครงการสารพัดโครงการด้วยความร่วมมือขององค์กรท้องถิ่นบาง แห่ง จากนั้นจะเชิญชวนให้ชาวบ้านสมัครเข้าร่วมโครงการและมีการขอบัตรประชาชนไว้ อ้างว่าจะนำไปถ่ายเอกสารและจะคืนให้ภายหลัง พร้อมสัญญาจะมีค่าเสียเวลาหรือค่าชดเชยในกรณีที่โครงการมีปัญหาภายหลัง  ซึ่งค่าเสียเวลาก็คือเงินซื้อเสียงนั่นเอง
 วิธีนี้ต้องทำก่อนหน้าวันเลือกตั้งเพียงสองถึงสามวัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ "เมื่อไม่มีบัตรประชาชน ก็ใช้สิทธิเลือกคู่แข่งไม่ได้"

"โรคร้อยเอ็ด" เข็ดไปอีกนาน
 สำหรับภาคอีสาน  "โรคร้อยเอ็ด" คือบาดแผลที่ฝังลึก ที่ทำให้คนเมืองร้อยเอ็ดเจ็บปวดทุกครั้งที่มีคนพูดถึง
อาจพูดได้ว่านี่คือปฐมบทแห่งการ "ทุ่มแหลก แจกไม่อั้น" เป็นหนึ่งในต้นตำรับของการซื้อเสียงในยุคประชาธิปไตยรุ่งเรือง ชนิดที่ว่าเมื่อฤดูเลือกตั้งเวียนมาคราวใด หลายคนมักจะล้อเลียนว่า "อย่าให้เป็นแบบโรคร้อยเอ็ดก็แล้วกัน"
 เรื่องเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. 2500 ผู้สมัครคนหนึ่งทุ่มซื้อเสียงประชาชนในพื้นที่ด้วยเงินคนละ  1 บาท จนเข้าไปนั่งในสภาได้สำเร็จ
 ต่อมาในปี 2524 การเลือกตั้งที่จังหวัดแห่งนี้ยังคงมีการซื้อเสียงเช่นเดิม  โดยใช้เงินทุ่มซื้อมากเสียจนกลายเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นๆ เลียนแบบ
  ชาวร้อยเอ็ดอายุ 50 ปีขึ้นไป หลายคนจำได้ว่าการเลือกตั้งซ่อมในปีนั้น เกิดขึ้นหลังจาก ส.ส.ร้อยเอ็ด นายสมพร จุรีมาศ รองหัวหน้าพรรคสยามประชาธิปไตย เสียชีวิตลง และมีผู้สมัครชิงชัยตำแหน่ง ส.ส. ที่ว่างลงถึง 14 คน หนึ่งในนั้นคือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์  หัวหน้าพรรคชาติประชาธิปไตย อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย และ พ.ต.ท.บุญเลิศ เลิศปรีชา  รองหัวหน้าพรรคกิจสังคม อดีต รมช.มหาดไทย
 เล่ากันว่า ทีมงานหาเสียงของ “พล.อ.เกรียงศักดิ์” ประกาศท้าทายว่า “นายพลแพ้ไม่ได้” มีการระดมกระสุนเงินตราจำนวนกว่า 30 ล้านบาทใช้หาเสียง แบ่งเป็นค่าโฆษณามากถึง 7 ล้านบาท ค่าที่พัก 4 แสนบาท ค่าเช่ายานพาหนะ 1.65 ล้านบาท ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 4.5 แสนบาท ค่าใช้จ่ายหัวคะแนน 4.75 ล้านบาท ฯลฯ

  ขณะที่ “พ.ต.ท.บุญเลิศ” มีกองหนุนชั้นเยี่ยมอย่าง “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ” หัวหน้าพรรคกิจสังคม เดินทางมาช่วยหาเสียง โดยใช้นโยบายประชานิยมเป็นจุดขาย เดินสายแบบ “ทัวร์นกขมิ้น ค่ำไหนนอนนั่น” ทุกหมู่บ้าน ครั้งนั้น คาดว่าพรรคกิจสังคมใช้เงินลุยหาเสียงไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ส่วนผู้สมัครพรรคอื่นก็เปย์หนักไม่แพ้กัน
  ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเศรษฐกิจของเมืองร้อยเอ็ด ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  โรงแรมเต็มทุกวันส่งผลให้ราคาห้องพักสูงขึ้นจาก 80 บาท เป็น 240 บาท สื่อมวลชนเดินทางมาทำข่าวกันชนิดไม่ขาดสาย รถโดยสารเต็มทุกเที่ยว รถสามล้อต้องคิดค่าบริการเพิ่มจาก 5 บาทเป็น 10 บาท ชาวบ้านมีอาชีพเสริมจากการรับจ้างปิดใบปลิว นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า“ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ” ไม่มีความหมาย แม้จะมีการกำหนดไว้ว่า “ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้ไม่เกิน 3.5 แสนบาทต่อคน และห้ามใช้วิธีให้ทรัพย์หรือผลประโยชน์อื่นใดโดยทางตรงหรือทางอ้อม .... ” ก็ตาม แต่ก็ยังมีการทุ่มเงินซื้อเสียงกันชนิดหมดหน้าตัก
  และพอเปิดหีบเลือกตั้ง ผลปรากฎว่า “พล.อ.เกรียงศักด์” ชนะเลือกตั้งชนิดถล่มทลาย ไปด้วยคะแนนเสียง 70,812 คะแนน ขณะที่ “พ.ต.ท.บุญเลิศ ” ได้ 42,084 คะแนน ครั้งนั้น “พล.อ.เกรียงศักดิ์” ได้ทิ้งผลงานการเป็นส.ส.ร้อยเอ็ด ด้วยการขุดลอก“ บึงพลาญชัย ”และ“ขุดลอกคลองคูเมือง ” ซึ่งชาวร้อยเอ็ดเรียกติดปากมาจนถึงทุกวันนี้ว่า "คลองเกรียงศักดิ์"

  "อายนะ เป็นเรื่องไม่ดีที่ขายขี้หน้าเขาไปทั่วโลก สมัยนั้น แม่และพ่อก็เป็นหัวคะแนนให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์เหมือนกัน เราไม่รู้หรอกว่า พ่อกับแม่ไปทำอะไร รู้แต่ว่า ไปเป็นคนช่วยหาเสียงให้อดีตนายกฯ แต่ละวันพ่อกับแม่ออกจากบ้านแต่เช้า และกลับเข้าบ้านตอนเย็น สีหน้ายิ้มกริ่ม จนในที่สุด พล.อ.เกรียงศักดิ์ได้เป็นส.ส.ร้อยเอ็ด จริงๆ แล้วคนร้อยเอ็ดดีใจมาก เพราะได้เลือก อดีตนายกฯให้ได้มาเป็นส.ส." หนึ่งในคนร้อยเอ็ดที่กำลังเติบโตในสายวิชาการคนหนึ่งบอก และ ทุกวันนี้ เขาคือคนหนึ่งที่เกลียดคำว่า "โรคร้อยเอ็ด"
  "ตอนนี้โรคร้อยเอ็ดมันไม่ได้อยู่เฉพาะร้อยเอ็ดแล้ว แต่มันระบาดไปทั่วประเทศ ชื่อมันก็ยังตามมากรีดแผลในใจชาวร้อยเอ็ดอยู่ วันนี้ถ้าไปถามคนร้อยเอ็ดว่า รู้สึกอย่างไรกับชื่อนี้ เขาทุกคนคงบอกว่า เกลียด และไม่ชอบ แต่ถ้าถามว่าเอาเงินมาให้เอาไหม ก็คงจะเอา แต่เอาแล้วจะเลือกหรือไม่ นั่นเป็นสิทธิของเขา แต่ผมเชื่อว่า คนร้อยเอ็ดไม่ได้โง่ เหมือนคนไทยทุกคนที่ไม่ได้โง่ ใครเอาเงินมาให้ก็เอา แต่เขาจะรู้เองว่า คนที่แจกเงิน กับคนที่ไม่แจกเงิน ใครจะเป็นคนดีกว่ากัน" นักวิชาการคนดังกล่าวบอก

แทง(หวย)ผู้แทน
 ช่วงทิ้งโค้งก่อนเข้าสู่ทางตรงในวาระเลือกตั้งทั้วไปคราวนี้ ยิ่งทำให้การพูดคุยของบรรดาคอการเมืองในสภากาแฟแห่งหนึ่งในแดนสะตอ ออกรสออกชาติมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการบลัฟของชาวบ้านที่ต่างถือหางข้างที่ให้การสนับสนุน ยังไม่นับการปั่นกระแสของบรรดา “หัวคะแนน” ที่ระดับเดซิเบลในการสนทนาจนดังออกไปนอกร้าน ทำเอาคนผ่านไปผ่านมาต้องเหลียวหลังหันมามอง นึกไปว่ามีคนทะเลาะกันอยู่ข้างใน

 ถ้าเปรียบทรงมวย ณ ตอนนี้ ผู้สมัครสองค่ายใหญ่จัดว่าสูสี ต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่าผู้สมัครฝั่งของตนจะเป็นผู้กำชัย จึงเกิดการพนันขันต่อในวงสนทนากลางสภากาแฟแห่งนี้ไปโดยปริยาย
 ในที่สุดก็มีเสียงจาก "เจ้ามือ” หัวใส ที่เงี่ยหูฟังการวิวาทะของชาวบ้านสองฝ่ายในร้านน้ำชา จึงได้เสนอ ช่องทางการพนันขันต่อในรูปแบบที่เรียกว่า “หวยผู้แทน"
 แม้การออกหวยผู้แทนจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในสนามเล็ก หรือสนามใหญ่ “หวยเถื่อน” ลักษณะนี้ก็ปรากฎให้ได้ยินเป็นข่าวมานานแล้ว และที่สำคัญการตามจับกุมคอหวยก๊วนนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียด้วย
 คอการเมืองถิ่นสะตอรายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า ด้วยวัฒนธรรมของคนปักษ์ใต้ที่มีร้านน้ำชาเป็นจุดนัดพบยามเช้า-ค่ำ ทำให้ก่อเกิดกลุ่มคอการเมืองขึ้น ซึ่งเคี่ยวไปด้วยการติดตามเนื้อหาสาระและวิชามารทางการเมือง ก่อตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้การเมืองที่ถูกจัดอยู่ในหมวด "เงินซื้อเสียงไม่ได้" กระทั่งเมื่อมีคนหัวหมอคิดวิธีเลี่ยงบาลี "ไม่ซื้อเสียงแต่ซื้อหวย" ขึ้นมาในรูปแบบ "หวยผู้แทน" โดยเจ้ามือส่วนใหญ่ไม่ใช่ใครที่ไหนคือกลุ่มหัวคะแนน หรือผู้สนับสนุนผู้ลงสมัครนั่นเอง
 หวยผู้แทน มักปรากฎให้ได้ยินเป็นข่าวถี่ในช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งซึ่งผู้ออกหวย หรือเจ้ามือรับแทงหวย ส่วนใหญ่อาจเป็นเครือข่ายของหัวคะแนนหรือกลุ่มเจ้ามือหวยทั่วไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแข่งขันทางการเมืองในพื้นที่นั้น
 โดยล่าสุดพื้นที่ซึ่งเริ่มมีกระแสการเล่นหวยผู้แทนกันมันมือ มักกระจายอยู่ตามพื้นที่ภาคใต้ตอนบนไม่ว่าจะเป็นสนามการเมืองใหญ่ เช่น นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
 ว่ากันว่า การออกหวยผู้แทนนั้น จะมีอยู่ 2 ลักษณะ คืออย่างแรกจะให้คอหวย หรือชาวบ้านซื้อหวยซึ่งเป็นหมายเลขผู้สมัครที่ต้องการให้ชนะการเลือกตั้ง โดย "เจ้ามือ" จะจ่ายเงินเมื่อมีการรับรองผลการเลือกตั้ง ซึ่งรูปแบบนี้จะมีผลต่อการลงคะแนนเสียงโดยตรงเพราะบรรดาผู้แทงหวยต่างเก็งจะ ให้หมายเลขที่ซื้อไว้เป็นผู้ชนะจึงมุ่งเทคะแนนให้กับผู้สมัครหมายเลขดัง กล่าว ซึ่งหมายถึงการเกณฑ์ การระดม หรือการแกมบังคับให้ญาติพี่น้อง วงษาคณาญาติมาร่วมลุ้นด้วย
 ส่วนอีกรูปแบบนั้นเจ้ามือจะเปิดให้คอหวยแทงหมายเลขของผู้สมัครที่เป็น รอง ด้วยเป้าประสงค์ที่จะเพิ่มคะแนนเสียงให้กับมวยรองพลิกแซงชนะตัวเต็ง
 ที่สำคัญแรงดึงดูดให้คอหวยเหล่านี้สืบเท้าเข้าสู่วงจรที่ขัดขวางหนทางไป สู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั่นคือ อัตราค่าตอบแทน หรือราคาราต่อรองที่ยั่วน้ำลายชาวบ้านกลุ่มฐานคะแนนเสียงสำคัญในแต่ละ พื้นที่ เพราะผลตอบแทนมากเท่าใดก็ยิ่งจูงใจให้ชาวบ้านกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของผู้ อยู่เบื้องหลังมากยิ่งขึ้น
 “เชื่อเถอะว่าการเล่นหวยลักษณะนี้ไม่ว่าคุณจะเลือกแทงข้างไหน ท้ายที่สุดแล้วผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับชาวบ้านแน่นอน แถมมีความเสี่ยงที่จะถูกนักเลือกตั้งบางคนฉวยโอกาสถอนทุนคืน เมื่อได้เข้าไปนั่งในสภาด้วยซ้ำไป”คอการเมืองถิ่นสะตอคนหนึ่ง กล่าวย้ำ
... นี่กระมัง ประชาธิปไตยแบบไทยๆ

เพลงครองแผ่นดินโดยธรรม

         เพลงครองแผ่นดินโดยธรรม
      บทเพลงเฉลิมพระเกียรติ เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ขอเชิญคนไทยทั้งประเทศร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการร่วมร้องบท เพลงแห่งความจงรักภักดีอันมิรู้จบของคนไทยทั้งแผ่นดิน เพลง "ครองแผ่นดินโดยธรรม" โดยสามารถส่งคลิปภาพและเสียงถวายพระพร "ทรงพระเจริญ" มายัง http://www.facebook.com/krongpandin ตั้งแต่วันที่ ๙ มิ.ย. - ๑ ธ.ค.๒๕๕๔ ซึ่งภาพและเสียงดังกล่าวจะนำมาบันทึกไว้ใน MV เวอร์ชั่นต่อไป เนื่องในปีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ กระทรวงกลาโหม ร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนไทยทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันจัดทำบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ “ ค ร อ ง แ ผ่ น ดิ น โ ด ย ธ ร ร ม ” ในรูปแบบมิวสิควิดิโอ( MV) เผยแพร่ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทุกสถานี เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทย อย่างอเนกอนันต์ ดั่งปฐมบรมราชโองการ “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ” ซึ่งบทเพลงนี้แสดงให้เห็นถึงการรวมใจของคนไทยทั้งแผ่นดิน ที่ร่วมกันแสดงความจงรักภักดีด้วยการเปล่งเสียงถวายพระพรอย่างไม่รู้จบ การจัดทำบทเพลงเฉลิมพระเกียรติในครั้งนี้นับเป็นโครงการใหญ่ครั้งสำคัญครั้ง แรกในประวัติศาสตร์ ที่ใช้ผู้เข้าร่วมบรรเลงขับร้องแสดงมากที่สุดถึง ๙,๙๙๙ คน !! ไม่ว่าจะเป็น นักดนตรีจาก ๔ เหล่าทัพ พร้อมด้วยนักร้องนักแสดงและศิลปินจากทุกค่าย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ โดยศิลปินดาราทั่วฟ้าเมืองไทยที่ร่วมขับร้องบทเพลง เช่น เศรษฐา ศิระฉายา, ปัญญา นิรันดร์กุล , ศิลปินวงนูโว, แอ๊ด คาราบาว, หงา คาราวาน, บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์, ปาน ธนพร, โปงลางสะออน, เบน ชลาทิศ, เจนนิเฟอร์ คิ้ม, ป้าง นครินทร์, ศิลปินจาก AF, บี้ เดอะ สตาร์, ดา เอ็นโดฟิน, วงแท็ททู คัลเลอร์, แก้ม / รุจ / อาร์ เดอะสตาร์, แก๊งค์สามช่า, แพนเค้ก เขมนิจ, วี วีรภาพ, รถเมล์ คนึงนิจ, แพท ณปภา, ธงชัย ประสงค์สันติ, มยุรา เศวตศิลา, กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์, หนุ่ม กรรชัย, เติ้ล ธนพล, ปุ๊กลุ๊ก ฝนทิพย์ นาเดีย นิมิตรวานิช, นุ่น รมิดา ฯลฯ และควบคุมวงดนตรีโดย บัณฑิต อึ้งรังษี ซึ่งบทเพลงนี้ประพันธ์คำร้องโดย คุณประภาส ชลศรานนท์ โดย MV บทเพลงแห่งความจงรักภักดีอย่างไม่รู้จบของคนไทยทั้งแผ่นดิน เพลง “ครองแผ่นดินโดยธรรม” จะออกสู่สายตาคนไทยทั้งประเทศพร้อมกันทุกสื่อในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๙.๐๙ น. และคนไทยสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ MV บทเพลงแห่งประวัติศาสตร์ “ครองแผ่นดินโดยธรรม” โดยการส่งคลิปภาพและเสียงถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” ส่งมายัง www.facebook.com/krongpandin เพื่อนำภาพและเสียงดังกล่าวมาบันทึกไว้ใน MV และเพื่อให้เป็นบทเพลงที่มีการรวมใจจากคนไทยทั้งแผ่นดิน ในการร่วมถวายความจงรักภักดีอย่างไม่รู้จบ และร่วมสร้างประวัติศาสตร์เพลงที่จะมีคนร่วมกันร้องมากที่สุด โดยสามารถส่งคลิปถวายพระพรมาได้ตั้งแต่วันที่ ๙ มิ.ย. - ๑ ธ.ค.๒๕๕๔ บทเพลงแห่งความจงรักภักดีอันมิรู้จบของคนไทยทั้งแผ่นดิน “ครองแผ่นดินโดยธรรม” จะออกอากาศพร้อมกันทุกสื่อทั่วประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๙.๐๙ น. จึงเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมใจกันแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเลือกตั้งที่จะถึงนี้แล้วครับ



ความรู้เรื่องการเลือกตั้งของไทย

ประชาชนมีหน้าที่เลือกตั้ง
มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้การไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของบุคคลเหมือนกับ
หน้าที่การเสียภาษี ดังนั้นบุคคลที่มีสัญญาติไทยโดยการเกิด
หรือได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติมาไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1
มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในเขตเลือกตั้ง หรือนอกเขตเลือกตั้ง
หรือแม้แต่พำนักอยู่ในต่างประเทศ ทุกคนมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
1. วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ
2. เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
3. ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
4. อยู่ในระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
การใช้สิทธิเลือกตั้ง
ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
1. ผู้ที่มีสัญชาติไทย ถ้าแปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาไม่น้อยกว่า 5 ปี
2. มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง
3. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง

การตรวจดูรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
1. ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ
2. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด
3. ประชาชนสามารถไปตรวจดูรายชื่อ และขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งปี

บัตรเลือกตั้ง
บัตรเลือกตั้งมี 2 แบบ
1. บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
2. บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ

ลักษณะของบัตรเลือกตั้งมีสีต่างกัน และมีต้นขั้วบัตรเลือกตั้งสำหรับพิมพ์ลายนิ้วมือหัวแม่มือขวา
ที่มุมบนด้านขวาของบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ

วิธีการใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง
1. แสดงบัตรประจำประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ที่หน่วยเลือกตั้ง
2. รับบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ (บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 1 ใบ และบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 1 ใบ)
3. พิมพ์ลายนิ้วมือหัวแม่มือขวาที่ต้นขั้วบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 ใบ
เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้รับบัตรเลือกตั้งแล้ว
(ถ้ามีการร้องเรียนว่าที่หน่วยเลือกตั้งนั้นมีการทุจริตการเลือกตั้ง
ต้นขั้วนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญในการตรวจสอบ)
4. เข้าคูหา ทำเครื่องหมายกากบาทในบัตรเลือกตั้ง
- กากบาทเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงหมายเลขเดียว ที่บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
- กากบาทเลือกพรรคการเมืองเพียงหมายเลขเดียว ที่บัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
- ถ้าไม่ต้องการลงคะแนนให้ใคร หรือพรรคการเมืองใด กากบาทที่ช่องไม่ลงคะแนน
5. หย่อนบัตรเลือกตั้งด้วยตนเองทีละใบ ต่อหน้ากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง

ปัจจุบันการเลือกตั้งมี 2 แบบ คือ
1. การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
2. การเลือกตังแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
ส.ส. จากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตมีจำนวน 400 คน
มาตรา 98 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า \"สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน
โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 99 จำนวน 100 คน
และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งตามมาตรา 102 จำนวน 400 คน\" เลือกตั้ง ส.ส.
เขตละ 1 คน
มาตรา 102 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า
\"การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ 1 คน\"
มาตรา 103 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า
\"จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 1 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง
และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 1 คนให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง
มีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมีโดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1
คน\"ดังนั้นประเทศไทยจึงมีเขตเลือกตั้งรวมทั้งสิ้น 400 เขต

การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อพรรค โดยทั่วไปเรียกว่าเลือกตั้งแบบสัดส่วน พรรคต่าง ๆ จะได้
รับจำนวนที่นั่งในสภาฯ ตามสัดส่วนของคะแนนที่ได้รับ สำหรับพรรคที่ได้รับคะแนนไม่ถึงร้อยละ 5
ของคะแนนทั้งหมด ก็จะไม่ได้ที่นั่งในสภาฯ จากการเลือกตั้งระบบนี้
การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
พรรคการเมืองจะส่งผู้สมัครโดยเสนอเป็นรายชื่อเรียงลำดับไม่เกินบัญชีรายชื่อละ 100 คน
บุคคลในบัญชีรายชื่อจะต้องไม่ซ้ำกับผู้สมัครแบบแบ่งเขต และผู้สมัครในบัญชีรายชื่อพรรคอื่น
นอกจากนี้จะต้องประกอบด้วยรายชื่อจากภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเป็นธรรม (ไม่ใช่มีแต่คนกรุงเทพฯ
หรือคนในภูมิภาคหนึ่งใดโดยเฉพาะ) เมื่อมีการสมัครแล้วหมายเลขที่บัญชีรายชื่อนั้นได้รับ
จะถือว่าเป็นหมายเลขประจำพรรคการเมืองนั้น ทั้งนี้การรับสมัครแบบแบ่งเขตจะกระทำขึ้นภายหลัง
โดยผู้สมัครแบบแบ่งเขตที่ส่งโดยพรรคใดจะได้รับหมายเลขเดียวกันกับพรรคนั้น
บัญชีรายชื่อที่ได้คะแนนรวมทั้งประเทศไม่ถึงร้อยละ 5 ให้ถือว่าไม่มี ส.ส. จากบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น
เมื่อตัดบัญชีรายชื่อและคะแนนของบัญชีรายชื่อเหล่านี้ออกไปแล้ว บัญชีที่เหลือแต่ละบัญชีจะมี
ส.ส.ได้กี่คน ขึ้นอยู่กับว่าบัญชีรายชื่อนั้นได้คะแนนรวมร้อยล่ะเท่าไร

คงจะได้แนวทางนะครับ

ไปใช้สิทธิ์ให้ได้นะครับ เพราะการเมืองเรื่องปากท้องเราเอง